จะทำยังไงในวันที่ไร้แข้งตัวหลัก ! BY คะนึงตึงเปรี๊ยะ
ช่วงโค้งสุดท้ายของ พรีเมียร์ลีก เป้าหมายของ หงส์แดง คือการติดอยู่ 1 ใน 4 ของอันดับในตารางคะแนน แต่ทีมจะฝ่าวิกฤตการขาดตัวหลักที่ได้รับบาดเจ็บไปได้ยังไง วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน ลุยย!! ตารางบอล
ตัวรุกยังพอมีทีเด็ด
กองหน้า 2 คนเป็นอีกทางเลือก
หากจำกันได้ในช่วงฤดูกาลก่อน หงส์แดง เคยจับคู่กองหน้า “หริด-กี้”และทั้งคู่ก็ผสานงานกันได้อย่างลงตัว ช่วยให้ทีมทะลุเข้าชิงในรายการ ยูโรป้า ลีก แต่ต้องอกหักในนัดชิงชนะเลิศ เมื่อมามองถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ลิเวอร์พูลขาดตัวรุกคนสำคัญถึง 2 นาย ทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และ อดัม ลัลลาน่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทั้งคู่จะกลับมาได้ทันปิดซีซั่นรึป่าว เมื่อเข้าถึงตาจนในตอนนี้ทีมมีตัวทำเกมรุกจำกัดจำเขี่ย การใช้บริการหน้า 2 คนก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะตัว เสตอร์ริดจ์ ตอนนี้ก็กลับมาฟิตเต็มถัง ส่วนน้องกี้เองเมื่อได้รับโอกาสก็ทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ ยิงได้ต่อเนื่อง และหากนัดไหนที่ทั้งคู่ฟอร์มเข้าฝักจูนกันติด เชื่อเหลือเกินว่าเกมรุกหงส์บินสูงเป็นแน่แท้
ตำแหน่งถนัดของ มิลเนอร์
จับ เจมส์ มาเล่นมิดฟิลด์
อย่าลืมว่า เจมส์ มิลเนอร์ คือมิดฟิลด์ธรรมชาติ เพราะก่อนจะย้ายมาที่ แอนฟิลด์ เขาก็ออกตัวก่อนเลยว่าต้องการจะเล่นในตำแหน่งนี้ แต่ด้วยความสามารถ และการขาดแบ็คซ้ายที่ไว้ใจได้ทำให้เขาต้องลงต่ำและทำหน้าที่ประจำเป็นตัวรับฝั่งซ้ายอย่างถาวร แต่ ณ เวลานี้ แผงมิดฟิลด์หงส์แดงก็ไม่ใช่ว่าจะลงตัว เพราะการขาดหายไปของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทำให้บางนัดเราจะเห็นว่ากองกลางเราก็มียวบให้เห็น ยิ่งเจอกับทีมเล็กๆ การที่ใช้ ลูคัส เลว่า ที่บางวันฟอร์มเทพก็น่ากราบ วันไหนช็อตก็น่าเขกกะโหลกเหมือนกัน เปลี่ยนเป็นโยก มิลเนอร์ ขยับกลับไปเล่นในตำแหน่งที่เขาถนัด เพื่อจะช่วยอัดแดนกลางของ หงส์แดงให้แน่นขึ้นไปอีก ก็เป็นอีกทางเลือก เพราะในตำแหน่งแบ็คซ้าย โมเรโน่ ก็พร้อมจะรับผิดชอบอยู่แล้ว
การรับที่ดีที่สุดคือ เกมบุก
ใช้วิธี ยิงมา ยิงกลับไม่โกง !
ไม่มีใครสงสัยเรื่องเกมรุกของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ และก็เช่นเดียวกัน เรื่องเกมรับก็เป็นที่กล่าวขานว่าอ่อนสุดๆ เสียกันเยอะ และเสียกันง่าย หากมามองว่าจุดเด่นของทีมคือแนวรุกที่จัดจ้านดีทีเดียว ก็จัดการเปิดเกมบุกแบบเต็มตัวไปเลย เพราะสถิติที่ หงส์แดง ตบทีม Top 7 ของพรีเมียร์ลีก แบบไร้พ่ายในซีซั่นนี้ ส่วนนึงคือการเล่นเกมรุกเป็นหลัก ดูได้อย่างหลายๆนัด ทั้งโอกาสการยิง เปอร์เซ็นการครองบอลจะเป็นต่อคู่แข่งมากแต่ ลิเวอร์พูล กลับไม่ได้ 3 แต้มโดยเฉพาะการดวลกับทีมที่มีอันดับในเลขสองหลัก ก็เป็นเพราะการเล่นกล้ากลัวๆ บุกแบบไม่เต็มอัตรา หากทีมเปลี่ยนทัศนคติ และใช้ระบบการเล่นแบบบุกแหลก ยิงมายิงกลับไม่กลัว แบบที่ใช้กับบิ๊กทีม ก็เป็นหนึ่งยุธวิธีที่น่าสนใจไม่น้อย
วิ่งน้อยๆ แต่มีคุณภาพ
วิ่งเยอะที่สุด ไม่ช่วยให้ชนะ
นี่ก็ปาเข้ามาสู่นัดที่ 31 ในซีซั่นเข้าไปแล้ว ลิเวอร์พูล ในหลายๆนัดก็ยังใช้การวิ่งเพลสซิ่งแบบบ้าคลั่งในหลายๆเกม ตัวเลขที่ชี้ว่าทีมเป็นแชมป์การวิ่งบีบคู่แข่งเยอะที่สุดใน 20 ทีมพรีเมียร์ลีก จะบอกถึงความมุ่งมั่น และตั้งใจก็พอจะเข้าใจได้ แต่ถ้ามาดูสภาพทีม และความจำเป็นในตอนนี้ต้องบอกว่าต้องลดการวิ่งแบบไม่จำเป็นออกไป เพราะบางเกมพลพรรค์หงส์แดง ออกอาการล้าให้เห็น ยิ่งเป็นการเจอกับทีมเล็กๆที่มักใช้วิธีการเดียวกันคือวิ่งบีบทั้งเกม เล่นเอาเหนื่อยหอบเหมือนกัน แต่หากทีมรักษาสมดุล รู้ว่าจังหวะไหนต้องไล่ต้องบีบ เพื่อเก็บออมพลังไว้ให้ใช้ได้ครบ 90 นาที จะเป็นการดีมาก เพราะเมื่อเข้าสู่ท้ายซีซั่นกำลังวังชามันก็ลดตามจำนวนนัดที่เหลือ หากยังดื้อเพื่อรักษาแชมป์วิ่งเยอะที่สุด ก็เอาจจะน้ำตาตกอดติดท็อป 4 ก็เป็นได้
ทำให้ แอนฟิลด์ เป็นนรกของทีมเยือน
เก็บชัยทุกนัดในบ้าน ก็น่าจะเพียงพอที่จะไป UCL
เหลืออีก 7 นัดที่เหลือในซีซั่นนี้ แบ่งเป็นเกมเหย้า 3 เกม และ เกมเยือน 4 เกม หากมามองดูโปรแกรมของ ลิเวอร์พูล นั้นนับว่าเบาที่สุดใน 6 ทีมที่ลุ้นแย่งพื้นที่ 4 อันดับแรกเพื่อจะได้ไปเล่นในถ้วยใบใหญ่สุดดของยุโรป เพราะทีมอื่นต้องไปชนกันเองทุกทีม และเมื่อมองให้ลึกลงไปอีก ลิเวอร์พูล มักทำได้ดีในการเล่นที่รังเหย้าของตัวเอง โดยแพ้ไปเพียงเกมเดียวในฤดูกาลนี้ และโปรแกรมเกมเหย้าที่เหลือ ลิเวอร์พุล ต้องพบกับทีมที่หนีตกชั้น อาจจะมองว่าเป็นงานเบา แต่ทีมพวกนี้มีพลังแฝงอยู่ทั้งหมด บวกกับการเจอ ลิเวอร์พุล ที่มีจุดอ่อนเมื่อต้องพบกับทีมที่ศักยภาพต่ำกว่า การปลุกพลังของผู้เล่นคนที่ 12 และการเล่นใน แอนฟิลด์ สเตเดี่ยม นับว่าสำคัญสุดๆในช่วงนี้ เพราะหาก หงส์แดงเก็บ 9 แต้มเต็มในบ้านได้ในนัดที่เหลือ เชื่อเหลือเกินว่าเพียงพอต่อการกลับไปเล่นใน UCL ได้