แม้จะออกมาบอกว่าขออยู่ต่อ หลังจากมีข่าว ตามรายงานของ เลกิ๊ป สื่อชื่อดังของเมืองน้ำหอม ว่าเจ้าตัวจะได้ ค่าเหนื่อยสูงถึงสัปดาห์ละ 600,000 ปอนด์ (ประมาณ 24 ล้านบาท) หลังสัญญาฉบับปัจจุบันของเขากับทีมมีผลจนถึงช่วงซัมเมอร์ ปี 2022 แต่ก็ต้องยอมรับว่านักเตะวัย 21 ปี เริ่มจะอยู่ในจุดอิ่มตัวกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง สโมสรมหาเศรษฐีแห่งเวที ลีก เอิง ฝรั่งเศส และมีโอกาสสูงมาก ที่ตัวเขาเองอยากเดินทางไปหาความท้าทายใหม่ๆ โดยมีเป้าหมายหลัก 2 ที่ ที่ดุจะดึงดูดใจของเขานั่นก็คือ ลาลีกา สเปน และ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้งนี้เราจะมาพูดถึง 2 ทีมตัวเต็ง ระหว่าง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด ว่าทำไมแข้งแชมป์โลกรายนี้ควรจะเลือกฝ่ายแรกมากกว่า
หงส์แดงแรงจริงๆ
ต้องบอกเลยว่าการได้ คล็อปป์ เข้ามาทำทีม ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาครองความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง ทั้งรูปแบบการเล่น รวมถึงจิตวิญญาณ ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมระดับโลกไปเป็นที่เรียบร้อย โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ในแนวรุกทั้ง 3 ผสานพวกเขาคือที่สุดแล้ว ณ ชั่วโมงนี้
สวนทางกับ ราชันชุดขาว ที่ขุมกำลังเริ่มจะโรยราทั้ง ลูก้า โมดริช, โทนี่ โครส, รามอส ที่กำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ กับอนาคตข้างหน้า แม้จะได้นักเตะระดับโลกอย่าง เอแด็น อาซาร์ แต่ทว่าก็ยังปรับตัวอะไรไม่ได้เลยในปีแรก แสดงให้เห็นว่าหากเทียบขุมกำลัง และนักเตะที่คอยดูแลรอบๆ ตัวเขาในเกมรุก ยังไงตอนนี้ ลิเวอร์พูล เทียบตำแหน่งต่อตำแหน่งดูดีมีอนาคต สามารถฝากความหวังไว้ได้มากกว่า
ความสำเร็จ
ปฏิเสธไม่ได้นักเตะที่ได้ทุกแชมป์ภายในประเทศ กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง รวมถึงได้แชมป์โลกมาแล้วแม้จะอายุเพียงแค่ 21 ปี ทีมที่เขาจะย้ายไปต้องการันตีว่า ความประสบความสำเร็จต้องเข้ามาทุกๆ ปี ทาง มาดริด เริ่มแสดงให้เห็นว่าพวกเขาอยู่ในช่วงขาลง ใน 2 ปีหลังพวกเขาได้โทรฟี่ใหญ่ๆ เพียงแค่ครั้งเดียวคือ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่น 2017-18 ที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ในลีกทำได้เพียงอันดับ 3 ทั้ง 2 ฤดูกาล นั่นเท่ากับว่า 2 ปีหลังพวกเขาได้แค่แชมป์เดียว ผิดวิสัยมากๆ กับทีมยักษ์ใหญ่ระดับนี้
สวนทางกับ ลิเวอร์พูล ที่ดูเหมือนจะแรงมาแบบต่อเนื่อง และ พร้อมลุ้นแชมป์ในทุกๆ ปี ทิศทางของพวกเขากำลังไปได้สวยทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะภายในประเทศ หรือบอลยุโรป แม้ว่าจะเป็น คู่ชิงชนะเลิศในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ของ มาดริด และอกหัก แต่ก็แสดงให้เห็นศักยภาพ คว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ได้ในซีซั่นต่อมา นอกจากนี้ปีก่อนก็พลาดแชมป์ให้กับ ซิตี้ ด้วยระยะห่างของแต้มแค่ 1 คะแนน และในปีนี้ก็กลับมาเหลืออีก 2 เกมก็จะคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่หยุดความสำเร็จไว้แค่นี้แน่ๆ อะไรๆ ก็ดูจะเข้าทางไปหมด อยู่ในช่วงขาขึ้นโดยแท้
กุนซือ
ข้อนี้สำคัญสุดๆ และบัปเป้ อาจจะใช้ปัจจัยนี้ตอบรับเลือกทีมที่ตนกำลังจะไปทำงานด้วย หากต้องออกนอกประเทศเป็นหนแรก เริ่มจาก ซีดาน แน่นอนว่าเขาคือยอดนักเตะ และยอดกุนซือ แถมเป็นคนพูดภาษาเดียวกันกับนักเตะ ซีเนดีน ซีดาน คือไอดอลของ เอ็มบั๊ปเป้ ทุกคนทราบดี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำหนดความเป็นไปไม่ได้อยู่ที่ นักเตะที่พา ฝรั่งเศส ได้แชมป์ ฟุตบอลโลก 1998 แต่ขึ้นอยู่กับ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ เป็นประธานของสโมสร ที่สามารถตัดสินใจอะไรแปลกๆ ได้ตลอดเวลา เป็นคนคาดเดาใจได้ยาก ไม่มีใครการันตีอนาคตได้เลยว่า ซีดาน จะอยู่ครบสัญญาในครั้งที่ 2 นี่อีกเมื่อไหร ต่อให้ได้เขามาร่วมทีมจริงๆ หากผลงานไม่สวยหรู ไอดอลของ บัปเป้ ก็ปลิวได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ต่างกับ คล็อปป์ เขาไม่เคยโดนทีมผู้บริหารลงมากดดันแต่อย่างใด กลับกันยังได้รับความไว้วางใจในทุกๆ สิ่งให้เขาเป็นคนจัดการ แม้ตัวเขาเองจะอยู่ในช่วงที่เรียกได้ว่า วิกฤตเก้าอี้ร้อนในช่วงแรกที่พาทีมเข้าชิง 2 ครั้งและไม่ได้แชมป์เลยในปีแรก และหลังจากนั้นผลงานก็ยังกระท่อนกระแท่นเรื่อยมาสักระยะหนึ่ง แต่ทางกุนซือชาวเยอรมันได้รับการหนุนหลังจากบอร์ดบริหารอย่างเต็มที่ จนพาทีมก้าวข้ามวันเวลาร้ายๆ จนมาถึงจุดที่ทีมจะขาดเขาไม่ได้ แน่นอนว่า สัญญาที่จะคุมทีมไปจนถึงช่วงซัมเมอร์ ปี 2024 ดูเหมือนจะน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะสโมสรอยากให้เขาอยู่กับทีมนานเท่าที่จะนานได้
เรื่องนี้จะเป็นการตัดสินใจในการเลือกทีมรักของ บัปเป้ หากไป มาดริด เขาสามารถไปอยู่กับไอดอลของเขา และทีมที่ชื่นชอบแต่ไม่มีใครการันตีอนาคต และรูปแบบการเล่นได้ แต่หากเป็นที่หงส์แดง เขาจะได้กุนซือที่สามารถให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นระดับโลกได้มากกว่าเดิม แถมยังการันตีว่าจะอยู่ดูแลได้ยาวๆ ก็อยู่ที่ว่าทางไหนที่เขาจะเลือกไป จาก เปแอสเช ไม่อย่างนั้นก็อยู่เป็นเศรษฐีกับทีมเดิมต่อไป…